วันที่ 17 มิถุนายน 2551 วันนี้มีลูกค้ารายหนึ่งจากจังหวัดลพบุรีโทรศัพท์มาปรึกษาเรื่องการเลือกความหนาของสายพานให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานหน่อย ธุรกิจของลูกค้าเป็นโรงโม่หินที่ผ่านมาการเลือกสายพาน ก็ไม่ได้เอาใจใส่อะไรมากนัก คือเลือกเหมือนของเดิมที่เห็นอยู่ ทั้งๆที่ราคาของสายพานถ้าเลือกได้เหมาะสมกับงาน จะประหยัดงบประมาณลงไปมาก แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่เห็นความสำคัญ อาจจะเป็นเพราะว่าขาดข้อมูลในการในการตัดสินใจ ดังนั้นในวันนี้ AVจึงตั้งใจจะมาเล่าถึงเรื่องการเลือกความหนาของสายพานแบบง่ายๆ ใครๆก็เลือกได้แต่ ยังคงไว้ซึ่งความถูกต้อง ครบถ้วน เช่นเดิมค่ะ
ก่อนเข้าเรื่องจริงๆจังๆ AV อยากจะขอเล่าเรื่องประเภทที่เรียกว่าเป็นประวัติศาสตร์ของการกำหนดมาตรฐานของ Cover สายพานซะหน่อย เพราะเรื่องอย่างนี้...ไม่ค่อยมีใครเขาจะเล่าให้ฟังกัน เพราะไม่เห็นความสำคัญหรืออาจจะไม่ทราบหรือไม่มีความรู้จะมาบอกก็ได้แต่ AV เห็นว่าเรื่องประเภทนี้แหละจำเป็นต้องเล่าอย่างยิ่งเพราะจะเป็นพื้นฐานให้ผู้อ่านมีความรู้เพื่อนำไปต่อยอด หรือคิด-ศึกษาเองต่อได้ในเรื่องที่ลึกกว่าหรือเรื่องที่คนอื่นๆเขาไม่กล่าวถึงหรือไม่อยากบอก แบบประมาณว่า “ หากเราจะยิงธนูให้ได้ไกลที่สุด เราก็ต้องน้าวสายธนูถอยกลับมาให้มากที่สุดเช่นกัน ‘นั่นคือต้องถอยหลังกลับมาดูที่พื้นฐานกันเสียก่อน เพราะความรู้พื้นฐานเหล่านี้เน้นสิ่งที่จำเป็นในการเลือกแนวทางการตัดสินใจให้มีทิศทางที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากไม่ว่าจะมองในแง่มุมไหนก็ตาม
มาตรฐานของผิวยาง Cover ของสายพานลำเลียงถูกกำหนดมาตั้ง 40-50 ปีที่แล้วซึ่งขณะนั้น ผิวของสายพาน (Cover) ทำด้วยยางธรรมชาติ (Natural Rubber) เท่านั้น ดังนั้นคุณสมบัติของ Cover เช่น ค่าแรงดึง (Tensile Strength) ค่าการยืดตัว (Elongation) จึงมีรากฐานมาจากคุณสมบัติของยางธรรมชาติล้วนๆ
แต่ปัจจุบันนี้ ยาง Cover ถูกพัฒนาได้ดีขึ้นมาก วัสดุที่ใช้ทำยาง Cover เป็นทั้งวัสดุสังเคราะห์ (Synthetic Rubber) และยางธรรมชาติ (Natural Rubber) หรือเอาทั้ง 2 อย่างมาผสมกัน ซึ่งจะทำให้ได้ Cover สายพานที่มีคุณภาพดี ทนทานและประหยัด (ในแง่ของค่าใช้จ่าย ต่อ ตันของการขนส่ง) แต่มาตรฐานต่างๆที่ใช้ในปัจจุบันยังคงใช้ มาตรฐานตัวชี้วัดคุณสมบัติดั้งเดิมตั้งแต่อดีตยังไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับ 40-50 ปีก่อนสมัยที่ใช้ยางธรรมชาติเป็น Cover และมีผ้าฝ้าย (Cotton) เป็นเส้นใยรับแรง (Fabric) ดังนั้นคุณสมบัติค่ามาตรฐานต่างๆไม่ว่าจะเป็นแรงยึดเกาะ (Adhesion) , Elongation, Tensile Strength จะไม่สามารถเป็นตัวแทนที่ถูกต้องของสายพานที่ผลิตขึ้นในปัจจุบันได้ (คุณสมบัติของสายพานปัจจุบันจะสูงกว่าอดีตมาก) โดยความเห็นส่วนตัวในกรณีนี้ AV เห็นว่ามาตรฐานที่เรายึดถืออยู่ไม่ว่าจะเป็นเกรด M,N,P หรือ W,X,Y,Z หรือ D,H,L เป็นเพียงหลักการคร่าวๆให้เราสามารถเลือกใช้ชนิด/ประเภทของ Cover ให้ถูกต้องกับการใช้งานของเราในเบื้องต้นก่อนเท่านั้น ส่วนรายละเอียดต้องสอบถามกับผู้รู้จริง อีกครั้งหนึ่ง ผู้รู้จริงและรู้ดีที่สุดก็คือ “ผู้ใช้งาน “ นั่นเอง
การกำหนดความหนาของสายพานทั้งด้านบน-ล่าง จะขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน เช่น ถ้าหากวัสดุที่ขนถ่ายเป็นก้อนโต และ หนัก Cover ก็ต้องหนากว่าปกติโดย Common Sense ก็ต้องหนากว่าขนวัสดุที่เล็กกว่าและเบากว่าอย่างแน่นอน ที่ผ่านๆมา AV ยังไม่เคยเห็นใครช่วยอธิบายว่าหากเราจะเลือก Cover ให้เหมาะสมมันมีปัจจัยอะไรบ้างที่มีอิทธิพล (Influent) ต่อการเลือกชนิดของผิวสายพานดังนั้นไม่มีใครอาสาAV จึงใคร่ขอลองนำมาบอกกล่าวแฟนคลับให้ทราบไว้กว้างๆดังนี้นะค่ะ
การพิจารณาเลือก Cover ให้เหมาะสมต้องพิจารณาปัจจัยดังต่อไปนี้
1) ชนิดและคุณสมบัติของวัสดุที่ขนถ่าย (Nature of conveyed material)
- ขนาด (Size)
- ความคม (Abrasiveness)
- อุณหภูมิ (Temperate)
- น้ำมัน (Oil)
- ความชื้น (Water Content)
- ฯลฯ
2) วิธีการที่วัสดุตกสู่สายพาน
- ตกจากที่สูง (ตกแบบรุนแรง) โดยตรง
- ผ่านตระแกรง (ตกแบบนุ่มนวล)
- ตกผ่าน Chute
- ฯลฯ
3) สิ่งแวดล้อมของ Site งานที่สายพานต้องประสบพบเจอ
- อยู่กลางแดด กลางฝน
- อยู่ที่อุณภูมิต่ำ
- ต้องประสบกับความร้อน
- ต้องประสบกับเปลวไฟ
- ต้องประสบกับสารจำพวก น้ำมัน-ไขมัน
- ฯลฯ
ตราบเท่าถึงปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตสายพานหรือผู้ออกแบบระบบสายพาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสายพาน AV แน่ใจว่าทุกฝ่ายยังคงลังเลที่จะตอบแบบ “ฟันธง” ไปว่าควรใช้ความหนาของสายพานแค่ไหนถึงจะเหมาะสมเมื่อลูกค้าถามทั้งๆที่รู้ดีว่าสายพานที่มีความหนา 6 มม. (Top Cover) ย่อมทนทานกว่าสายพานที่มีความหนา 4 มม. อย่างแน่นอนในแง่ของอายุการใช้งาน แต่ก็มีราคาต้องจ่ายที่มากกว่าอย่างแน่นอน จุดไหนที่เป็นจุดนัดพบที่พอดีระหว่างความหนาและราคา คำตอบคือ “ความเหมาะสม” ร่วมกับพฤติกรรมการใช้งานของแต่ละท่านโดยท่านต้องสังเกตุพฤติกรรมอายุการใช้งานการสึกหรอของสายพาน ของแต่ละ line ว่ามีความทนทานมากน้อยอย่างไร ฯลฯ. ส่วนความหนาของยางด้านล่าง (Bottom cover) ก็สามารถเลือกความหนาได้ตั้งแต่ 1.5 -4 มม. แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สัดส่วนของ Top Cover : Bottom Cover ไม่ควรเกิน 3:1 เพื่อให้แฟนคลับสามารถเลือก Cover ได้อย่างง่ายๆ ไม่ปวดหัวเพราะยิ่ง AV เขียนให้ลึกลงๆๆ เท่าไร สมองที่เคยโล่งๆก็อาจจะเริ่มตื้อและหัวก็จะเริ่มปวด เอาว่า.......... ตอนนี้เรามาดูกันง่ายๆก่อนว่า ถ้าเราเอาเฉพาะปัจจัยเรื่องชนิดของวัสดุที่ลำเลียงเพียงอย่างเดียวเป็นตัวตั้ง เราก็จะสามารถเลือกความหนาของสายพานให้เหมาะสมตามตารางข้างล่างนี้ (อ้างอิง YOKOHAMA )
ดังนั้น ตอบคำถามของลูกค้าโรงโม่ตั้งแต่ย่อหน้าแรก (ดูตามตารางข้างบน) ก็ต้องดูว่า เมื่อวัสดุที่ลำเลียงเป็นหินย่อย (Crushed Stone) ถ้าหากว่ามีขนาดน้อยกว่า 50 มม. และมีเหลี่ยมมุม (สามารถเจาะกระแทกสายพานให้เสียหายได้ง่าย) ก็สามารถเลือกความหนาบนของสายพานได้ตั้งแต่ 4-6 มม. และความหนาล่างประมาณ 1.5-2 มม. แต่ถ้าวัสดุที่บรรทุกมีขนาดให้ขึ้นมากว่า 50 มม. ความหนาด้านบนก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็น 5-7 มม. ทั้งนี้ก็เพราะว่า สายพานต้องดูดซับพลังงานของวัสดุที่ตกลงบนสายพานมากขึ้น (จึงต้องการความหนามากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ชั้นผ้าใบเสียหาย) และยิ่งวัสดุมีความแหลมคมมากขึ้นความหนาก็ต้องเพิ่มขึ้นไปอีก
ถ้าวัสดุมีขนาดใหญ่จริงๆ ความหนาสายพานธรรมดาเองก็เอาไม่อยู่ ก็ต้องใส่ชั้นวัสดุพิเศษอยู่ข้างบนของชั้นผ้าใบเพิ่มอีกชั้นหนึ่งเรียกว่า “ Breaker ” เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ชั้นผ้าใบเสียหายจากวัสดุที่ตกกระแทก หรือการเจาะของวัสดุดูรายละเอียดตามตารางข้างล่าง
จากตารางจะแสดงการเลือก ความหนาของสายพานและ Breaker ที่สัมพันธ์กับชนิด ขนาด ของวัสดุที่ลำเลียง และ ความยาวของระบบสายพานลำเลียง ตลอดจนจำนวนชั้นผ้าใบของสายพาน สรุปให้เห็นรวมๆว่า วัสดุที่ก้อนใหญ่ แข็ง คม ย่อมต้องการความหนาที่มากกว่า วัสดุที่มีขนาดเล็ก เบา เช่น ผ้า นุ่ม ยุ่ย ตารางที่แสดงนี้เป็นเพียง guide Line เท่านั้นนะคะ ท่านเองต้องเป็นผู้เลือกความหนาที่ถูกต้องด้วยตัวเอง (สังเกตจากพฤติกรรมการใช้งานอายุการใช้งานของสายพาน ของท่าน)
ที่ผ่านมา AV นำเอาเฉพาะปัจจัยด้านขนาด และความแหลม คม ของวัสดุลำเลียงมาคุยกัน แต่ในข้อเท็จจริง การลำเลียงบางครั้งต้องมีความร้อนมาเกี่ยวข้อง ซึ่งอายุการใช้งานของสายพานที่มีความร้อนด้วยนี้จะขึ้นอยู่กับความหนาบน (Top Cover) ของสายพานเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น หากท่านต้องเลือกสายพานที่ลำเลียงวัสดุที่มีความร้อน ท่านต้องเพิ่มความหนาบนของสายพานตั้งแต่ 1-3 มม. เพิ่มจากการเลือกแบบปกติ ด้วยนะคะ
ส่วนสายพานที่เป็น Oil Resistance (ทนน้ำมัน) ซึ่งปกติสายพานชนิดนี้ จะไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับการขัดสี (Abrasive) ของวัสดุที่ลำเลียงและจะไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับการตกกระแทก การเจาะสายพาน ดังนั้น ความหนาของสายพานชนิดนี้ ก็จะน้อยกว่าสายพานชนิด Ware Resistance ถ้า Tension ไม่มาก ความหนาบนอาจใช้ 2 มม. หนาล่างอาจใช้ 1 มม. ก็ได้ -แต่ถ้าการใช้งานต้องมีการขัดสีมาเกี่ยวข้องก็เพิ่มความหนาบนเป็น 3-4 มม. ได้ตามความเหมาะสม
สุดท้ายก็จะขอจบที่ Feeder Belt เนื่องจากว่าเป็นสายพานที่มีขนาดสั้นๆ และการทำงานจะหนักมากเนื่องจาก Cycle Time สั้นเหตุนี้จะทำให้ Top Cover สึกหรอเร็วมาก ดังนั้นเวลาเลือกความหนาของสายพาน จึงจำเป็นต้องเลือกความหนาให้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง Step ด้วยนะค่ะ
แฟนคลับมีอะไรสงสัยมากกว่านี้ สามารถโทรศัพท์สอบถามที่สายพานไทยได้ตลอดเวลานะค่ะ อย่าลืมๆๆๆ